ปัจจุบัน กระแสรักษ์โลกส่งผลให้วงการยานพาหนะเร่งพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ให้ตอบสนองการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น ส่งผลให้ท้องตลาดมีรถไฟฟ้าหลากหลายรุ่นและแบรนด์ให้เลือก และรถยนต์ไฟฟ้า EV กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากการทำงานและระบบพลังงานที่แตกต่างจากรถยนต์สันดาปแล้ว ยางของรถ EV ก็มีความแตกต่างกันด้วย มาเปรียบเทียบยางรถยนต์กันว่าจะต่างกันยังไง
ยางรถไฟฟ้า EV มีข้อดียังไง?
1. ยางรถ EV ลดเสียงรบกวนได้ดีกว่า
ส่วนประกอบของยางรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะมีการออกแบบและการผลิตที่พิเศษยิ่งกว่ายางรถยนต์ทั่วไป โดยเฉพาะการใช้โฟมซับเสียงเพื่อให้ยางนั้นมีความนุ่มและเงียบขณะที่ขับขี่อยู่ ซึ่งทำให้ยางรถ EV สามารถลดเสียงรบกวนได้ดีกว่า อีกทั้งยังทำให้การขับขี่ราบรื่นและสบายยิ่งขึ้นด้วย แม้ว่ายางรถ EV จะมีราคาสูงกว่ายางรถยนต์ทั่วไปพอสมควร แต่ก็คุ้มค่าเต็มที่กับคุณสมบัติเหล่านี้
2. ยางรถยนต์ไฟฟ้ามีความทนทานต่อแรงบิดสูง
เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีน้ำหนักที่มากกว่ารถยนต์ทั่วไป เนื่องจากมีขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่ ดังนั้นยางของรถ EV จึงต้องมีการรับน้ำหนักได้ดีมากกว่า ซึ่งสามารถรองรับน้ำหนักตัวรถได้ดีกว่ายางรถยนต์ทั่วไปประมาณ 10-20% เลยทีเดียว นอกจากนี้ ยางรถยนต์ไฟฟ้ายังได้รับการออกแบบให้มีความทนทานต่อแรงบิดที่สูงกว่า เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานของระบบเบรกแบบ Regenerative Braking ที่เป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้า
3. ยางรถยนต์ไฟฟ้ายึดเกาะถนนได้ดี
ด้วยการใช้ระบบเบรก Regenerative Braking ของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ยางรถยนต์ EV ต้องออกแบบให้มีคุณสมบัติในการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม เพื่อช่วยลดการลื่นไถลในการเลี้ยวและเบรก ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ให้กับผู้ใช้รถ EV
ยางรถ EV มีข้อจำกัดยังไง?
แม้ว่ายางรถยนต์ไฟฟ้าจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น
- มีราคาสูงประมาณ 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบยางรถยนต์ทั่วไป
- ตัวเลือกยังมีไม่มากเท่ากับยางรถทั่วไป เนื่องจากรถไฟฟ้ายังมีสัดส่วนน้อย
- อายุการใช้งานของยางรถไฟฟ้าอยู่ในระดับมาตรฐาน ประมาณ 5 ปี หรือ 40,000-50,000 กม.
ดังนั้น หากใช้รถ EV ควรเลือกใช้ยางรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีที่สุด แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงเมื่อเปรียบเทียบยางรถยนต์ทั่วไปก็ตาม
วิธีดูแลยางรถยนต์ EV ยืดอายุการใช้งาน
การดูแลยางรถไฟฟ้านั้นไม่ได้แตกต่างจากยางรถยนต์ทั่วไปมากนัก สิ่งที่ควรตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอได้แก่ การตั้งศูนย์ล้อ การสึกหรอของยาง และการรักษาความดันลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
การเติมลมยางมากเกินไป จะทำให้เกิดการสึกผิดปกติบริเวณหน้ายาง ส่งผลต่อการยึดเกาะกับพื้นผิวถนน การเบรก การควบคุมรถ และเพิ่มความเสี่ยงให้ยางระเบิดหรือหมดอายุการใช้งานเร็วขึ้น ในทางกลับกัน การเติมลมยางน้อยเกินไป จะทำให้เกิดการสึกผิดปกติบริเวณไหล่ยางและแก้มยาง ส่งผลต่อการควบคุมรถ และอาจทำให้ยางสะสมความร้อนจนเกิดการระเบิดและสึกหรอเร็วขึ้นด้วย
ดังนั้น จึงควรตรวจสอบและรักษาความดันลมยางให้อยู่ในระดับที่ผู้ผลิตแนะนำ ซึ่งโดยทั่วไปยางรถยนต์ EV จะอยู่ที่ประมาณ 32-35 psi ขึ้นอยู่กับรุ่นของรถและยาง โดยมักมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับสภาพยางและการดูแลรักษา
ในอนาคตอันใกล้ ยางรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นอีกทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ใช้รถ EV ที่ต้องการความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ ซึ่งเป็นผลมาจากการออกแบบและผลิตที่พิถีพิถันเพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว