การนำรถไปตรวจเช็คระยะรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รถของคุณวิ่งได้เต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานรถอีกด้วย ข้อดีสุด ๆ คือ ช่างผู้ชำนาญสามารถบอกปัญหารถที่อาจเกิดขึ้นได้เร็ววัน ยิ่งรู้ตั้งแต่ปัญหายังเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมได้
แต่ก่อนนำรถไปตรวจเช็คระยะรถยนต์ อย่าลืมเตรียมคำถามไปถามช่างที่อู่ซ่อมรถยนต์ การถามคำถาม 3 ข้อนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจรายละเอียดของบริการที่ได้รับ และตัดสินใจได้ว่ารถของเรามีจจุดที่ต้งซ่อมแซมมั้ย ต้องรีบซ่อมหรือไม่
เมื่อไหร่ที่ต้องนำรถไปตรวจเช็คระยะรถยนต์?
ลองมาดูกันว่าควรเช็คอะไรบ้างในแต่ละเมื่อไปตรวจเช็คระยะรถยนต์ เพื่อให้รถคู่ใจพร้อมลุยทุกเส้นทาง เพิ่มความปลอดภัย และยังใช้รถได้เต็มประสิทธิภาพ โดยกำหนดเวลาหรือระยะทางที่เราควรนำรถไปเช็คระยะ มีดังนี้
ระยะ 1-6 เดือน หรือทุก 5,000 กม.
- เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรอง
- ตรวจเช็กสภาพยาง, ระบบเบรก และผ้าเบรก
ระยะ 6-12 เดือน หรือทุก 10,000 กม.
- เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรอง
- สลับยางและถ่วงล้อ
- ตรวจเช็กระบบปัดน้ำฝน, ระบบเบรก, ระบบคลัตช์ และการรั่วซึมของท่อสายต่าง ๆ
- ตรวจสภาพช่วงล่างทั้งหมด
ระยะ 12-24 เดือน หรือทุก 20,000 กม.
- เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, ไส้กรอง และน้ำมันเกียร์
- ตรวจเช็กสายพานขับและสายพานเครื่องยนต์
- ตรวจเช็กระบบช่วงล่างทั้งหมด
ระยะ 12-24 เดือน หรือทุก 40,000 กม.
- เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, ไส้กรอง, น้ำมันเบรก, น้ำมันคลัตช์, น้ำมันพวงมาลัย, น้ำมันเกียร์ และน้ำหล่อเย็น
- เปลี่ยนสายพานขับปั๊ม, สายพานแอร์ และใบปัดน้ำฝน
ระยะไม่เกิน 36 เดือน หรือ 60,000 กม.
- เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, ไส้กรอง, แบตเตอรี่, หัวเทียน และกรองน้ำมันเชื้อเพลิง
- ตรวจเช็กระบบหม้อน้ำ
ระยะไม่เกิน 60 เดือน (5 ปี) หรือ 100,000 กม.ขึ้นไป
- เปลี่ยนยางล้อทั้งชุด
- ตรวจเช็กและเปลี่ยนของเหลวในระบบต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น ระบบหม้อน้ำ
3 ข้อที่คุณควรถามศูนย์หรืออู่ซ่อมรถ เมื่อนำรถไปตรวจเช็คระยะรถยนต์
1. สภาพของชิ้นส่วนต่างๆ ในรถยนต์เป็นยังไง?
คำถามนี้จะช่วยให้คุณทราบว่าช่างจะตรวจอะไรบ้างระหว่างการเช็คระยะรถยนต์ และเพื่อให้รู้ว่าชิ้นส่วนต่างๆ ในรถของคุณอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่ เช่น ยางรถ, ระบบเบรก, ระบบไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่ารถของคุณปลอดภัยและพร้อมใช้งาน
2. มีชิ้นส่วนไหนที่ต้องเปลี่ยนหรือซ่อมแซมบ้าง?
นอกจากการตรวจสภาพแล้ว คุณควรถามช่างด้วยว่า มีชิ้นส่วนไหนบ้างที่ควรเปลี่ยนหรือซ่อมแซม เพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่ดีและพร้อมใช้งาน ซึ่งช่างจะสามารถแนะนำคุณได้ว่า ควรเปลี่ยนหรือซ่อมแซมชิ้นส่วนใดบ้าง
3. ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเป็นเท่าไหร่?
เมื่อไปเช็คระยะรถยนต์ ก่อนที่จะให้ช่างดำเนินการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอะไร คุณควรถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้วย เพื่อให้คุณได้วางแผนงบประมาณไว้ล่วงหน้า และตัดสินใจได้ว่า จะให้ช่างดำเนินการซ่อมแซมหรือไม่ และจำป็นต้องซ่อมเมื่อไหร่
นอกจากคำถาม 3 ข้อข้างต้นแล้ว คุณยังสามารถถามคำถามอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เช่น เคล็ดลับในการบำรุงรักษารถยนต์ หรือวิธีการยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่างๆ การถามคำถามจะแสดงให้ช่างเห็นว่าคุณใส่ใจกับรถของคุณ และต้องการทราบข้อมูลให้มากที่สุด
ศูนย์บริการ VS อู่ซ่อมรถยนต์ เช็คระยะที่ไหนดี?
เช็คระยะที่อู่ มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?
ข้อดีของการเช็คระยะที่อู่ซ่อมรถยนต์
- ค่าใช้จ่ายถูกกว่าเช็คที่ศูนย์อย่างเห็นได้ชัด และบางที่ยังมีโปรโมชั่นให้อีกด้วย
- ไม่ต้องจองคิวล่วงหน้า ให้บริการได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับคนที่เร่งรีบ
ข้อเสียของการเช็คระยะที่อู่ซ่อมรถยนต์
- ช่างอาจไม่ได้ใช้อะไหล่ที่ผู้ผลิตแนะนำ เนื่องจากบางรุ่นมีชิ้นส่วนเฉพาะที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ
- อาจทำให้รถหมดประกันได้
เช็คระยะที่ศูนย์ มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร?
ข้อดีของการเช็คระยะที่ศูนย์
- ศูนย์จะใช้อะไหล่แท้ มีการรับประกันคุณภาพ และใช้เครื่องมือมาตรฐาน
- บางรุ่นอาจได้รับการอัพเดตซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้รถทำงานได้ดีขึ้น
- หากเกิดปัญหาศูนย์พร้อมรับผิดชอบ
ข้อเสียของการเช็คระยะที่ศูนย์
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเช็คที่อู่
- ใช้เวลานานกว่า ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ไม่เหมาะกับคนเร่งรีบ
ควรเช็คระยะรถยนต์ที่ไหนดี?
ถ้าคุณมีเวลาและงบประมาณพอ การเช็คที่ศูนย์ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะได้รับการรับประกันคุณภาพ แต่ถ้าเร่งรีบหรืองบน้อย อู่นอกก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดี ขอแค่เลือกอู่ที่น่าเชื่อถือก็พอ! ไม่ว่าจะเลือกที่ไหน อย่าลืมเช็คตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคู่มือ เพื่อรักษาสภาพรถให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ
การนำรถไปตรวจเช็คระยะรถยนต์เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่ดีและปลอดภัยในการใช้งาน และเมื่อนำรถไปตรวจเช็คระยะรถยนต์ คุณควรถามช่างเกี่ยวกับสภาพของชิ้นส่วนต่างๆ, ชิ้นส่วนที่ควรเปลี่ยน, และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม เพื่อให้มั่นใจว่ารถของคุณอยู่ในสภาพที่ดีและพร้อมใช้งาน